ในงานช่างใด ๆ ก็ตามที่ต้องสัมผัสกับของมีคม มือเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงเป็นลำดับต้น ๆ ที่จะได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน โดยเฉพาะอุบัติเหตุจากของมีคมบาด ซึ่งทำให้อุปกรณ์อย่างถุงมือกันบาดเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องมือของผู้ทำงาน

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณค้นหา “ถุงมือกันบาด” ในตลาด คุณจะพบกับตัวเลือกมากมายที่ดูคล้ายกันไปหมด เพียงแต่แตกต่างกันที่คำอธิบายคุณสมบัติ บางรุ่นราคาไม่กี่สิบบาท ในขณะที่บางรุ่นราคาสูงถึงหลักพัน ดังนั้นแล้วคำถามสำคัญคือ ถุงมือเหล่านี้ปกป้องคุณได้เท่ากันหรือไม่? และ “ระดับการกันบาด” ที่ระบุไว้นั้นหมายความว่าอะไร?

 

ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจกับถุงมือกันบาดอย่างละเอียดว่า ถุงมือกันบาดมีกี่ระดับ กันแน่ โดยจะเน้นไปที่สองมาตรฐานที่เราพบเห็นได้บ่อย คือ ANSI ของอเมริกา (ซึ่งเป็นที่มาของ ถุงมือกันบาดระดับ 1 ถึง ถุงมือกันบาดระดับ 9) และ EN 388 ของยุโรป (ซึ่งใช้ระบบตัวอักษร A-F) เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ชิ้นนี้ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุด

 

ระดับของถุงมือกันบาด สำคัญอย่างไร?

 

หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ การเลือกถุงมือกันบาดผิดระดับเปรียบเหมือนการใส่เสื้อกันฝนไปกันกระสุน ซึ่งเป็นการใช้งานผิดประเภท และนั่นหมายความว่า “มันกันไม่ได้”

 

โดยการเลือกถุงมือกันบาดที่ไม่เหมาะสมจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ

 

  • เลือกถุงมือระดับต่ำเกินไป แน่นอนว่าเป็นกรณีที่อันตรายที่สุด คุณอาจเลือกใช้ถุงมือกันบาดระดับ 2 เพื่อทำงานกับแผ่นโลหะคมกริบ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ถุงมือจะไม่สามารถทนทานแรงบาดได้ ทำให้คุณได้รับบาดเจ็บรุนแรง
  • เลือกถุงมือระดับสูงเกินไป แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ส่งผลเสียต่องานและงบประมาณ และถุงมือกันบาดระดับสูง (เช่น ระดับ 7, 8, หรือ 9) มักจะหนากว่า หนักกว่า และลดทอนความคล่องตัวในการหยิบจับชิ้นงานขนาดเล็ก ซึ่งทำให้ทำงานได้ช้าลงและลำบากขึ้น และบางครั้งก็อาจนำไปสู่ความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุได้เช่นกน

 

ดังนั้น การทำความเข้าใจ “ระดับของถุงมือกันบาด” อย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องมือของคุณในการทำงานช่าง

 

โดยระดับของถุงมือกันบาด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการทดสอบตามมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก โดยมี 2 มาตรฐานหลัก คือ ANSI/ISEA 105 (มาตรฐานอเมริกา) และ EN 388 (มาตรฐานยุโรป)

 

มาตรฐาน ANSI A1-A9 (ถุงมือกันบาดระดับ 1 ถึง 9)

 

มาตรฐาน ANSI ของถุงมือกันบาด คือ มาตรฐานที่พบได้บ่อยที่สุดเมื่อคุณค้นหาถุงมือกันบาด มาตรฐานนี้ถูกปรับปรุงล่าสุดในปี 2016 โดยกำหนดระดับการกันบาดไว้ 9 ระดับ ตั้งแต่ A1 ถึง A9

 

การทดสอบถุงมือกันบาดตามมาตรฐาน ANSI จะใช้เครื่องทดสอบที่เรียกว่า TDM-100 โดยจะใช้ใบมีดตรงลากผ่านตัวอย่างถุงมือภายใต้น้ำหนักกดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าใบมีดจะตัดทะลุเนื้อผ้าเป็นระยะทาง 20 มม. ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกวัดเป็น กรัม ของแรงกดที่ต้องใช้ในการตัด ยิ่งระดับสูง (A9) ยิ่งต้องใช้แรงกดมากในการตัด หมายความว่ายิ่งกันบาดได้ดี

 

ถุงมือกันบาดระดับ 1 (ANSI Level A1)

 

ระดับการป้องกัน 200 – 499 กรัม

 

ถุงมือกันบาดระดับ 1 เป็นระดับเริ่มต้น ให้การป้องกันความเสี่ยงต่ำมาก เหมาะสำหรับงานที่ไม่ได้สัมผัสของมีคมโดยตรง แต่ต้องการการป้องกันเล็กน้อย เช่น การขูดขีด หรือการบาดจากกระดาษ

 

ตัวอย่างงาน เช่น งานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, งานคลังสินค้าที่หยิบจับกล่องกระดาษ, งานซ่อมบำรุงเบา, งานตรวจสอบคุณภาพ (QC)

 

ถุงมือกันบาดระดับ 2 (ANSI Level A2)

 

ระดับการป้องกัน 500 – 999 กรัม

 

ขยับขึ้นมาอีกขั้น ถุงมือกันบาดระดับ 2 เหมาะสำหรับงานที่มีความเสี่ยงต่ำ อาจมีการสัมผัสกับขอบคมของพลาสติกแข็ง หรือโลหะที่ผ่านการลบคมมาแล้ว

 

ตัวอย่างงาน เช่น งานก่อสร้างทั่วไป, งานขนย้ายวัสดุ, งานจัดการพัสดุ, งานซ่อมบำรุงในโรงงาน

 

ถุงมือกันบาดระดับ 3 (ANSI Level A3)

 

ระดับการป้องกัน 1,000 – 1,499 กรัม

 

ถุงมือกันบาดระดับ 3 เริ่มเข้าสู่การป้องกันความเสี่ยง “ปานกลาง-ต่ำ” เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้ความคล่องตัวสูง แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะโดนบาดได้

 

ตัวอย่างงาน เช่น งานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์, งานช่างประปา, งานช่างไฟที่ต้องปอกสายไฟ, งานจัดการขยะและรีไซเคิลที่อาจมีเศษแก้ว

 

ถุงมือกันบาดระดับ 4 (ANSI Level A4)

 

ระดับการป้องกัน 1,500 – 2,199 กรัม

 

ถุงมือกันบาดระดับ 4 ให้การป้องกันความเสี่ยงปานกลาง ในขณะที่ยังคงความคล่องตัวไว้ได้ดี เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่

 

ตัวอย่างงาน เช่น งานอุตสาหกรรมยานยนต์ (Metal Stamping), งานก่อสร้างที่ต้องจับเหล็ก, งานช่างซ่อมบำรุงหนัก, งานกับเครื่องจักร

 

ถุงมือกันบาดระดับ 5 (ANSI Level A5)

 

ระดับการป้องกัน 2,200 – 2,999 กรัม

 

ถุงมือกันบาดระดับ 5 ป้องกันความเสี่ยงปานกลาง-สูง เหมาะสำหรับงานที่ต้องสัมผัสกับแผ่นโลหะหรือกระจกที่มีขอบคมชัดเจน

 

ตัวอย่างงาน เช่น งานอุตสาหกรรมกระจกและหน้าต่าง, งานติดตั้ง HVAC (ท่อแอร์ดักท์), งานผลิตกระป๋องโลหะ

 

ถุงมือกันบาดระดับ 6 (ANSI Level A6)

 

ระดับการป้องกัน 3,000 – 3,999 กรัม

 

ถุงมือกันบาดระดับ 6 เริ่มเข้าสู่โซนการป้องกันความเสี่ยงสูงอย่างเต็มตัว ถุงมือกันบาดระดับ 6 มักทำจากวัสดุผสมขั้นสูง เช่น HPPE ผสมเส้นใยเหล็ก เพื่อรับมือกับของมีคมโดยเฉพาะ

 

ตัวอย่างงาน เช่น งานตัดโลหะ, งานในโรงงานแปรรูปโลหะแผ่น, งานรีไซเคิลโลหะ, งานที่ต้องใช้คัตเตอร์กรีดวัสดุแข็งตลอดเวลา

 

ถุงมือกันบาดระดับ 7 (ANSI Level A7)

 

ระดับการป้องกัน 4,000 – 4,999 กรัม

 

ถุงมือกันบาดระดับ 7 เป็นถุงมือกันบาดสำหรับความเสี่ยงสูงมาก ถุงมือกันบาดระดับ 7 ให้การป้องกันที่เกือบจะสูงสุด ถุงมือในระดับนี้จะเริ่มหนาขึ้นและอาจลดทอนความคล่องตัวลงบ้างเพื่อแลกกับความปลอดภัย

 

ตัวอย่างงาน เช่น งานกู้ภัยที่อาจต้องทุบกระจกหรือตัดโลหะ, งานรื้อถอน, งานจัดการของมีคมในโรงพยาบาล

 

ถุงมือกันบาดระดับ 8 (ANSI Level A8)

 

ระดับการป้องกัน 5,000 – 5,999 กรัม

 

ถุงมือกันบาดระดับ 8 อยู่ในระดับการป้องกันความเสี่ยงสูงสุด เหมาะสำหรับงานที่อันตรายที่สุดที่ต้องสัมผัสกับใบมีดคมกริบและแรงกดสูง

 

ตัวอย่างงาน เช่น โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ที่ใช้มีดแล่กระดูก, งานเปลี่ยนใบมีดเครื่องจักรขนาดใหญ่, งานผลิตใบมีด

 

ถุงมือกันบาดระดับ 9 (ANSI Level A9)

 

ระดับการป้องกัน 6,000+ กรัม

 

ถุงมือกันบาดระดับ 9 คือระดับการป้องกันสูงสุดที่มาตรฐาน ANSI กำหนดไว้ ถุงมือกันบาดระดับ 9 ถูกออกแบบมาเพื่องานเฉพาะทางที่มีความเสี่ยงสูงสุดอย่างแท้จริง ถุงมือเหล่านี้มักจะหนาและแข็งแรงมาก เช่น ถุงมือสแตนเลสถัก

 

ตัวอย่างงาน เช่น งานในโรงฆ่าสัตว์, งานที่ต้องใช้มีดแรงดันสูง, งานที่ต้องสัมผัสกับใบมีดที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง

 

มาตรฐาน EN 388 (มาตรฐานยุโรป)

 

มาตรฐาน EN 388 เป็นมาตรฐานที่พบเห็นได้บ่อยมากในเอเชียและไทย โดยจะแสดงเป็นรูปโล่ (สัญลักษณ์ค้อน) พร้อมตัวเลข 4 ตัว และตัวอักษร 1-2 ตัว (เช่น EN 388: 2016 4X42C) มาตรฐานนี้ให้ข้อมูลมากกว่าแค่การกันบาด แต่บอกถึงประสิทธิภาพเชิงกลโดยรวมของถุงมือ

 

ความทนต่อการขัดถู

 

ตำแหน่งที่ 1 หมายถึง การทนต่อการขัดถู ระดับ 1 ถึง 4 (ยิ่งสูงยิ่งดี)

 

ถูกทดสอบโดยการนำกระดาษทรายมาขัดถูตัวอย่างถุงมือภายใต้แรงกดคงที่ ค่าที่ได้คือจำนวนรอบที่ถุงมือทนได้ก่อนจะเกิดรูทะลุ โดยระดับ 1 ทนได้ 100 รอบ และที่ระดับ 4 ทนได้ 8,000 รอบ

 

ตัวเลขนี้จะบอกความทนทานทั่วไปของถุงมือ ถุงมือกันบาดระดับสูงแต่ค่าขัดถูต่ำ (ระดับ 1) อาจหมายความว่าถุงมือจะขาดง่ายจากการใช้งานทั่วไป แม้จะยังกันบาดได้ดีก็ตาม

 

การกันบาด

 

ตำแหน่งที่ 2 หมายถึง การกันบาด ระดับ 1 ถึง 5 (ยิ่งสูงยิ่งดี)

 

เป็นการทดสอบแบบเก่า โดยใช้ใบมีดวงกลมหมุนไปมาบนถุงมือ และวัดจำนวนรอบที่ใบมีดตัดผ่าน ซึ่งการทดสอบนี้มีจุดอ่อน หากวัสดุถุงมือ (เช่น ใยแก้วหรือเส้นใยเหล็ก) มีความแข็งมาก มันจะทำให้ใบมีดทื่อเร็ว ส่งผลให้ค่าที่ได้สูงเกินจริง (เรียกว่า “Blunting Effect”)

 

ในมาตรฐานใหม่ EN 388:2016 หากถุงมือทำให้ใบมีดทื่อ ผู้ผลิตต้องใช้การทดสอบแบบ TDM (ตำแหน่งที่ 5) แทน และในตำแหน่งนี้จะแสดงเป็นตัว X ซึ่งหมายถึง ไม่ได้ทดสอบด้วยวิธีนี้หรือวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล

 

ความทนต่อการฉีกขาด

 

ตำแหน่งที่ 3 หมายถึง ความทนต่อการฉีกขาด ระดับ 1 ถึง 4 (ยิ่งสูงยิ่งดี)

 

ทดสอบโดยการวัดแรงที่ต้องใช้ในการฉีกถุงมือที่ถูกบากไว้แล้วให้ขาดออกจากกัน โดยระดับ 1 ทนแรงฉีกได้ 10 นิวตัน และระดับ 4 ทนแรงฉีกได้ 75 นิวตัน

 

ค่าความทนต่อการฉีกขาดนี้บ่งบอกถึงความเหนียวของเนื้อผ้า ป้องกันการฉีกขาดเมื่อถุงมือไปเกี่ยวหรือโดนดึง

 

ความทนต่อการเจาะทะลุ

 

ตำแหน่งที่ 4 หมายถึง ความทนต่อการเจาะทะลุ ระดับ 1 ถึง 4 (ยิ่งสูงยิ่งดี)

 

ทดสอบโดยการใช้แท่งโลหะปลายแหลมลักษณะคล้ายตะปูกดลงบนถุงมือ และวัดแรงที่แท่งโลหะสามารถเจาะทะลุได้ อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงการป้องกันการเจาะทะลุจากของมีคมขนาดใหญ่ เช่น ตะปู หรือเสี้ยนไม้ ไม่ใช่การป้องกันของแหลมคมขนาดเล็กอย่างเข็มฉีดยา การกันเข็มต้องใช้มาตรฐานอื่น (เช่น ANSI/ISEA 105 Puncture Level)

 

การกันบาด (TDM Test หรือ ISO 13997)

 

ตำแหน่งที่ 5 หมายถึง การกันบาด (TDM Test หรือ ISO 13997) ระดับ A ถึง F (ยิ่งไกลจาก F ยิ่งดี)

 

เป็นการทดสอบแบบใหม่ และเป็นมาตรฐานทองคำในการวัดการกันบาดในปัจจุบัน ใช้หลักการเดียวกับ ANSI คือใช้ใบมีดตรงลากผ่านถุงมือภายใต้แรงกดที่เพิ่มขึ้น

 

  • ระดับ A ทนแรงกดได้ 2 นิวตัน (ประมาณ 204 กรัม)
  • ระดับ B ทนแรงกดได้ 5 นิวตัน (ประมาณ 510 กรัม)
  • ระดับ C ทนแรงกดได้ 10 นิวตัน (ประมาณ 1,020 กรัม)
  • ระดับ D ทนแรงกดได้ 15 นิวตัน (ประมาณ 1,530 กรัม)
  • ระดับ E ทนแรงกดได้ 22 นิวตัน (ประมาณ 2,243 กรัม)
  • ระดับ F ทนแรงกดได้ 30 นิวตัน (ประมาณ 3,059 กรัม)

 

โดยตัวอักษรนี้คือตัวอักษรที่ใช้เทียบเคียงกับมาตรฐาน ANSI ได้แม่นยำที่สุด หากคุณต้องการถุงมือกันบาดจริงจังให้มองหาตัวอักษรนี้

 

การป้องกันแรงกระแทก

 

ตำแหน่งที่ 6 หมายถึง การป้องกันแรงกระแทก จะแสดงเป็น P, F, หรือ X เป็นการทดสอบทางเลือก สำหรับถุงมือที่ออกแบบมาให้กันกระแทก (เช่น ถุงมือที่มีเกราะยางที่หลังมือ)

 

  • P (Pass) ผ่านการทดสอบ สามารถป้องกันแรงกระแทกได้
  • F (Fail) ไม่ผ่านการทดสอบ
  • X (Not Tested) ไม่ได้ส่งทดสอบ (ถุงมือส่วนใหญ่จะไม่มีการทดสอบนี้)

 

ตารางเปรียบเทียบมาตรฐาน ANSI A1-A9 และ EN 388 (TDM)

 

เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือตารางเทียบเคียง ระดับการกันบาดระหว่างสองมาตรฐาน

 

แรงต้านการตัด (กรัม)ระดับ ANSI/ISEA 105แรงต้านการตัด (นิวตัน)ระดับ EN 388:2016 (TDM)
≥ 200gA1≥ 2NA
≥ 500gA2≥ 5NB
≥ 1,000gA3≥ 10NC
≥ 1,500gA4≥ 15ND
≥ 2,200gA5≥ 22NE
≥ 3,000gA6≥ 30NF
≥ 4,000gA7  
≥ 5,000gA8  
≥ 6,000gA9  

 

ข้อสังเกต: จะเห็นว่ามาตรฐาน EN 388 (TDM) จะหยุดที่ระดับ F (เทียบเท่าประมาณ A6) ในขณะที่ ANSI จะซอยย่อยระดับความเสี่ยงสูงต่อไปจนถึง A9 ทำให้ ANSI เป็นมาตรฐานที่ให้รายละเอียดในโซนความเสี่ยงสูงได้ดีกว่า

 


 

จะเห็นว่า ถุงมือกันบาดไม่ใช่สินค้าที่ “ยิ่งแพงยิ่งดี” หรือ “ยิ่งหนายิ่งปลอดภัย” แต่ควรเป็นเครื่องมือที่พอดีกับงาน ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อถุงมือกันบาดครั้งต่อไป คุณอาจลองมองหาป้ายมาตรฐาน ANSI หรือ EN 388 และเลือกระดับให้ตรงกับความเสี่ยงหน้างานของคุณอย่างแท้จริง