ในพื้นที่การทำงานที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะงานที่ต้องสัมผัสกับการจราจร เครื่องจักรกลหนัก หรือการทำงานในสภาวะแสงน้อย การมองเห็นอย่างชัดเจนเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ทำให้อุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่เข้ามามีบทบาทในการปกป้องชีวิตของผู้ปฏิบัติงานในสถานการณ์เหล่านี้ก็คือ เสื้อเซฟตี้ หรือ เสื้อเซฟตี้สะท้อนแสง ที่มีสีสันฉูดฉาดที่สวมทับไว้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยส่วนบุคคล (PPE) ที่ผ่านการคิดค้นและออกแบบมาอย่างซับซ้อน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้สวมใส่จะ “โดดเด่น” และ “มองเห็นได้ชัดเจน” ในทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นแสงจ้าในตอนกลางวัน หรือความมืดมิดในยามค่ำคืน

 

แม้ว่า เสื้อเซฟตี้จะดูเหมือน ๆ กันหมด แต่รู้หรือไม่ว่าการเลือกเสื้อเซฟตี้ที่ถูกต้องไม่ใช่แค่การหยิบเสื้อเซฟตี้ตัวใดก็ได้ที่มีสีสว่าง แต่ควรทำความเข้าใจถึงประเภทของงาน มาตรฐานสากล วัสดุ และเทคโนโลยีการสะท้อนแสงที่อยู่เบื้องหลัง บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะทำให้คุณสามารถเลือกซื้อเสื้อเซฟตี้สะท้อนแสงได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับชีวิตของคุณและทีมงาน

 


 

เสื้อเซฟตี้สะท้อนแสง คืออะไร?

 

เสื้อเซฟตี้สะท้อนแสง (High-Visibility Safety Apparel หรือ Hi-Vis) คือ เครื่องแต่งกายที่ออกแบบมาโดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการเพิ่มความสามารถในการมองเห็นผู้สวมใส่ในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะในสภาวะที่มีแสงน้อย พลบค่ำ รุ่งสาง หรือในเวลากลางคืนที่มีแสงไฟจากยานพาหนะ หรือแม้กระทั่งในเวลากลางวันที่มีสภาพอากาศเลวร้าย เช่น หมอกลงจัดหรือฝนตกหนัก

 

หัวใจสำคัญของเสื้อเซฟตี้ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักสองส่วนที่ทำงานร่วมกัน คือ

 

  1. วัสดุพื้นหลัง คือส่วนที่เป็นผ้าสีสะท้อนแสง (Fluorescent) เช่น สีเหลืองมะนาว (Yellow-Lime) หรือสีส้มสะท้อนแสง (Fluorescent Orange-Red) วัสดุเหล่านี้ไม่ได้สว่างในตัวเอง แต่มีความสามารถในการ “แปลง” แสง UV (ที่มีมากในตอนกลางวัน) ให้กลายเป็นแสงที่มองเห็นได้ ทำให้สีของมันดู “สว่างจ้า” และ “เด้ง” ออกมาจากสภาพแวดล้อมโดยรอบในเวลากลางวัน หรือช่วงพลบค่ำ
  2. วัสดุสะท้อนแสง คือ “แถบสีเทา” หรือ “แถบสีเงิน” ที่เราเห็นบนเสื้อ ส่วนนี้จะแสดงพลังที่แท้จริงในเวลากลางคืน เมื่อมีแสงไฟ เช่น ไฟหน้ารถยนต์ ส่องมาโดน แถบนี้จะสะท้อนแสงนั้นกลับไปยัง “แหล่งกำเนิดแสง” โดยตรง ทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นผู้สวมใส่ได้จากระยะไกล

 

ความจำเป็นของเสื้อเซฟตี้สะท้อนแสงนั้นหยั่งรากลึกในสถิติอุบัติเหตุและการประเมินความเสี่ยงในการทำงาน ข้อมูลจากองค์กรด้านความปลอดภัยทั่วโลกระบุตรงกันว่า อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับการ “ถูกชน” เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้าง งานถนน และการขนส่ง

 

เมื่อมนุษย์เราเคลื่อนไหว โดยเฉพาะในสภาพแสงน้อย สมองของผู้ขับขี่ยานพาหนะอาจใช้เวลาประมวลผลนานขึ้นในการแยกแยะ “คน” ออกจาก “วัตถุ” อื่นๆ ในสภาพแวดล้อม เสื้อเซฟตี้ทำหน้าที่เป็น “ป้ายเตือนเคลื่อนที่” ที่ส่งสัญญาณให้ผู้ขับขี่รับรู้ถึงการมีอยู่ของบุคคลนั้น ๆ ล่วงหน้าหลายวินาที ซึ่งเป็นเวลาที่มีค่ามหาศาลในการเหยียบเบรกหรือหักหลบ นอกจากนั้น ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย การสวมใส่เสื้อเซฟตี้สะท้อนแสงไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นข้อบังคับตามกฎหมาย

 

มาตรฐานเสื้อเซฟตี้สะท้อนแสง

 

มาตรฐานที่ได้รับการยอมรับและอ้างอิงอย่างกว้างขวางที่สุดในระดับสากลคือ ANSI/ISEA 107 (มาตรฐานของสถาบันมาตรฐานแห่งชาติอเมริกัน) และ EN ISO 20471 (มาตรฐานยุโรป) มาตรฐานเหล่านี้ไม่ได้กำหนดแค่ว่าเสื้อต้องมีสีอะไร แต่กำหนด “ปริมาณ” ขั้นต่ำของวัสดุพื้นหลัง (สีสะท้อนแสง) และวัสดุสะท้อนแสง (แถบเทา) ที่ต้องมีบนเสื้อ เพื่อให้ได้รับการรับรองในแต่ละระดับ (Class)

 

โดยมาตรฐาน ANSI/ISEA 107 แบ่งประเภทของเสื้อเซฟตี้ออกเป็น 3 ระดับหลัก (Classes) ตามระดับความเสี่ยงของสภาพแวดล้อม

 

  • Class 1: สำหรับความเสี่ยงต่ำ ผู้ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ที่การจราจรไม่เร็วมาก (น้อยกว่า 40 กม./ชม.) และอยู่ห่างจากการจราจรพอสมควร เช่น พนักงานจอดรถ หรือคนงานในคลังสินค้าที่ใช้รถฟอร์คลิฟท์
  • Class 2: สำหรับความเสี่ยงปานกลาง ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับการจราจรที่ใช้ความเร็วสูงกว่า 40 กม./ชม. หรือในสภาพอากาศไม่ดี นี่คือระดับที่พบบ่อยที่สุดสำหรับคนงานก่อสร้างทั่วไป ตำรวจจราจร หรือพนักงานกู้ภัย
  • Class 3: สำหรับความเสี่ยงสูงสุด ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องเผชิญกับการจราจรความเร็วสูง (มากกว่า 80 กม./ชม.) หรือต้องทำงานในสภาพแสงน้อยมาก/ทัศนวิสัยย่ำแย่ตลอดเวลา เสื้อ Class 3 มักจะต้องมีแขนเสื้อ (ไม่ว่าจะเป็นแขนสั้นหรือแขนยาว) เพื่อเพิ่มพื้นที่ของวัสดุสะท้อนแสง

 

การทำความเข้าใจมาตรฐานเหล่านี้จึงสำคัญมาก เพราะการเลือกเสื้อเซฟตี้ Class 1 ไปใช้งานในพื้นที่เสี่ยง Class 3 ก็อาจหมายถึงความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ

 


 

ประเภทของเสื้อเซฟตี้ (ตามการออกแบบ)

 

เมื่อพูดถึงประเภทของเสื้อเซฟตี้ เราสามารถแบ่งตามการออกแบบหรือรูปทรง ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันไป

 

  1. เสื้อกั๊ก (Safety Vests) นี่คือรูปแบบที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด มีลักษณะเป็นเสื้อกั๊กสวมทับ เสื้อเซฟตี้ประเภทนี้เป็นที่นิยมอย่างสูงเนื่องจากความสะดวกในการสวมใส่ สามารถสวมทับเสื้อยืด เสื้อเชิ้ตทำงาน หรือแม้แต่เสื้อแจ็คเก็ตกันหนาวได้ง่าย มีราคาไม่แพง และง่ายต่อการแจกจ่ายให้กับพนักงานหรือผู้เยี่ยมชมพื้นที่ เสื้อกั๊กเองก็ยังแบ่งย่อยได้ตามวัสดุ เช่น:
    • เสื้อกั๊กผ้าตาข่าย (Mesh Vests): ออกแบบมาเพื่อการระบายอากาศที่ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับสภาพอากาศร้อนชื้นอย่างประเทศไทย ช่วยให้ผู้สวมใส่รู้สึกสบายตัว ไม่ร้อนอบอ้าว
    • เสื้อกั๊กผ้าทึบ (Solid Vests): มักทำจากผ้าโพลีเอสเตอร์แบบทึบ ซึ่งให้ความทนทานสูงกว่าแบบตาข่าย และมักใช้ในงานที่ต้องการความทนทาน หรือใช้สำหรับพิมพ์โลโก้บริษัทที่ต้องการความคมชัด
  2. เสื้อยืด (Safety T-Shirts) สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่ต้องการความคล่องตัว หรือทำงานในสภาพอากาศที่ร้อน เสื้อยืดเซฟตี้เป็นทางเลือกที่ดี มันทำหน้าที่เป็นทั้งเสื้อตัวหลักและเสื้อเซฟตี้ในตัวเดียว มักทำจากผ้าโพลีเอสเตอร์ที่ระบายเหงื่อได้ดี (Moisture-wicking) เสื้อยืดเซฟตี้มีทั้งแบบแขนสั้นและแขนยาว ซึ่งแบบแขนยาวมักจะผ่านมาตรฐาน Class 3 ได้ง่ายกว่า เพราะมีพื้นที่สำหรับวัสดุสะท้อนแสงบนแขนเสื้อ เพิ่มการมองเห็นเมื่อมีการเคลื่อนไหวแขน
  3. เสื้อแจ็คเก็ต / เสื้อกันฝน (Safety Jackets / Rainwear) สำหรับงานที่ต้องทำกลางแจ้งในสภาพอากาศที่แปรปรวน เช่น ฝนตก ลมแรง หรืออากาศหนาว เสื้อแจ็คเก็ตเซฟตี้คือคำตอบ นอกจากจะมีคุณสมบัติการมองเห็นสูงตามมาตรฐานแล้ว ยังเพิ่มคุณสมบัติในการกันน้ำ (Waterproof) หรือกันลม (Windproof) เข้ามาด้วย เสื้อประเภทนี้มักถูกออกแบบให้เป็น Class 3 โดยธรรมชาติ เนื่องจากมีพื้นที่แขนและลำตัวที่สมบูรณ์
  4. ชุดหมี (Coveralls) ในงานที่ต้องการการปกป้องทั้งร่างกาย เช่น งานในโรงกลั่น งานซ่อมบำรุงเครื่องจักรกลหนัก หรือ MRO (Maintenance, Repair, Operations) ชุดหมีเซฟตี้สะท้อนแสงจะให้การปกป้องและการมองเห็นที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

การเลือกประเภทของเสื้อเซฟตี้จึงขึ้นอยู่กับการประเมินสภาพแวดล้อมการทำงาน สภาพอากาศ และความจำเป็นในการป้องกันร่างกายส่วนอื่นๆ ควบคู่กันไป

 


 

วิธีการเลือกซื้อเสื้อเซฟตี้

 

การเลือกซื้อเสื้อเซฟตี้ที่ดี ไม่ใช่แค่การเลือกสีที่ชอบหรือราคาที่ใช่ แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้เสื้อที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการทำงาน

 

1. การประเมินความเสี่ยงและมาตรฐาน

 

นี่คือขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุด ถามตัวเองว่า

 

  • ผู้ปฏิบัติงานต้องทำงานใกล้การจราจรที่ความเร็วเท่าไหร่?
  • ทำงานเวลากลางวัน กลางคืน หรือทั้งสองเวลา?
  • สภาพอากาศในพื้นที่เป็นอย่างไร (ร้อน, ฝน, หมอก)?
  • พื้นหลังของสถานที่ทำงานเป็นอย่างไร (ในเมืองที่ซับซ้อน หรือถนนโล่งต่างจังหวัด)? คำตอบเหล่านี้จะช่วยให้คุณกำหนดได้ว่าคุณต้องการเสื้อเซฟตี้ Class 1, 2 หรือ 3 ตามมาตรฐาน ANSI/ISEA 107

 

2. การเลือกเนื้อผ้า (Fabric Selection)

 

เนื้อผ้าส่งผลโดยตรงต่อความสบายและความทนทาน

 

  • โพลีเอสเตอร์ (Polyester) เป็นวัสดุหลักสำหรับเสื้อเซฟตี้เกือบทุกชนิด เนื่องจากมีความทนทานสูง รักษาสีสะท้อนแสงได้ดี และแห้งเร็ว
  • ผ้าตาข่าย (Mesh) ดังที่กล่าวไปแล้ว นี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับอากาศร้อน ช่วยให้อากาศไหลเวียน ลดการสะสมความร้อน
  • ผ้าทึบ (Solid) เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานต่อการฉีกขาด หรือในสภาพอากาศที่เย็นกว่าเล็กน้อย
  • ผ้าหน่วงไฟ (Flame-Resistant – FR) ในงานที่มีความเสี่ยงต่อประกายไฟหรือความร้อนสูง เช่น งานเชื่อม งานไฟฟ้า หรือในโรงกลั่นน้ำมัน คุณจำเป็นต้องเลือกเสื้อเซฟตี้ที่ทำจากวัสดุหน่วงไฟ (FR) โดยเฉพาะ เสื้อเซฟตี้ทั่วไปที่ทำจากโพลีเอสเตอร์สามารถ “หลอมละลาย” ติดผิวหนังได้เมื่อโดนความร้อนสูง ซึ่งอันตรายมาก

 

3. สีสันของเสื้อ (Color)

 

สีที่พบบ่อยที่สุดคือ สีเหลืองมะนาว (Yellow-Lime) และ สีส้ม (Orange-Red) การเลือกสีไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล แต่ขึ้นอยู่กับ “ความเปรียบต่าง” (Contrast) กับสภาพแวดล้อม

 

  • สีเหลืองมะนาว เป็นสีที่สว่างที่สุดในสเปกตรัมที่มนุษย์มองเห็น และให้ความเปรียบต่างสูงในสภาพแวดล้อมในเมืองที่มีสิ่งรบกวนสายตาเยอะ
  • สีส้ม ให้ความเปรียบต่างที่ดีกว่าในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ เช่น พื้นที่ป่าไม้ หรือพื้นที่ที่มีหิมะปกคลุม
  • สีทูโทน เสื้อเซฟตี้บางรุ่นจะใช้สีเข้ม (เช่น สีกรมท่า หรือสีดำ) บริเวณส่วนล่างของเสื้อหรือปลายแขน บริเวณนี้เป็นจุดที่มักจะเปื้อนคราบสกปรกได้ง่าย การใช้สีเข้มจะช่วยพรางคราบสกปรก ทำให้เสื้อดูสะอาดยาวนานขึ้น และยังช่วยเพิ่มคอนทราสต์ในเวลากลางวันได้อีกด้วย

 

4. ฟังก์ชันการใช้งาน: กระเป๋าและซิป (Pockets & Closures)

 

นี่คือส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสะดวกในการทำงานโดยตรง

 

  • กระเป๋า (Pockets): วิศวกร หรือผู้คุมงาน อาจต้องการเสื้อเซฟตี้ที่มีกระเป๋าหลายช่อง สำหรับใส่ปากกา สมุดโน้ต วิทยุสื่อสาร หรือแม้แต่แท็บเล็ตขนาดเล็ก ในขณะที่คนงานที่ต้องทำงานใกล้เครื่องจักร อาจต้องการเสื้อที่ “เรียบ” ที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงที่กระเป๋าจะไปเกี่ยวเข้ากับเครื่องจักร
  • การปิด (Closures):
    • ซิป (Zipper): ให้ความกระชับ มั่นคง ดูเป็นทางการ แต่ถ้าซิปแตกอาจต้องทิ้งทั้งตัว
    • ตีนตุ๊กแก (Velcro): สวมใส่ง่ายและรวดเร็ว แต่ข้อดีที่สำคัญที่สุดคือ “ความปลอดภัยแบบ Breakaway” หากเสื้อไปเกี่ยวกับบางสิ่ง ตีนตุ๊กแกจะหลุดออกจากกันได้ง่าย ป้องกันไม่ให้ผู้สวมใส่ถูกดึงเข้าไปในอันตราย
    • แบบสวม (Pullover): มักพบในเสื้อยืด ให้ความกระชับ แต่สวมใส่ทับเสื้ออื่นได้ยากกว่า

 

5. ความพอดีและขนาด (Fit and Sizing)

 

เสื้อเซฟตี้ที่ “ฟิต” เกินไปจะทำให้การเคลื่อนไหวไม่สะดวก อึดอัด ในขณะที่เสื้อที่ “หลวม” เกินไปจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะอาจสะบัดไปเกี่ยวเข้ากับเครื่องจักรหรือกิ่งไม้ได้ ควรเลือกขนาดที่พอดี โดยเผื่อพื้นที่เล็กน้อยสำหรับการสวมทับเสื้อผ้าปกติ และต้องมั่นใจว่าเสื้อมีความยาวเพียงพอที่จะคลุมลำตัว ไม่ร่นขึ้นไประหว่างทำงาน

 


 

แถบสะท้อนแสง (Reflective Tape)

 

ส่วนประกอบที่มหัศจรรย์ที่สุดของเสื้อเซฟตี้คือ แถบสะท้อนแสง หากไม่มีแถบนี้ เสื้อเซฟตี้สีสว่างจะแทบไร้ประโยชน์ในความมืดสนิท โดยเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังแถบสีนี้เรียกว่า Retroreflection (การสะท้อนแสงแบบย้อนกลับ)

 

Retroreflection คืออะไร?

 

เพื่อทำความเข้าใจ Retroreflection เราต้องเปรียบเทียบกับการสะท้อนแสงแบบอื่น

 

  • การสะท้อนแบบกระจก (Specular Reflection) เช่น กระจกเงา แสงจะสะท้อนออกจากพื้นผิวในมุมตรงกันข้ามกับที่มันตกกระทบ (มุมตกกระทบ = มุมสะท้อน) ถ้าคุณไม่ยืนอยู่ในมุมที่ถูกต้อง คุณก็จะไม่เห็นแสงสะท้อน
  • การสะท้อนแบบกระเจิง (Diffuse Reflection) เช่น ผนังสีขาว แสงจะสะท้อนกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง ทำให้เรามองเห็นวัตถุนั้น แต่แสงที่สะท้อนกลับไปหาแหล่งกำเนิดแสงมีน้อยมาก

 

Retroreflection (การสะท้อนแสงแบบย้อนกลับ) คือคุณสมบัติพิเศษที่เมื่อแสง (เช่น ไฟหน้ารถ) ตกกระทบวัสดุ วัสดุนั้นจะสะท้อนแสง “กลับไปในทิศทางเดียวกับแหล่งกำเนิดแสง” โดยตรง ไม่ว่าแสงจะมาจากมุมใดก็ตาม นี่คือเหตุผลว่าทำไม เมื่อผู้ขับขี่ส่องไฟหน้ารถไปยังผู้สวมเสื้อเซฟตี้ แสงจากแถบสะท้อนแสงจึงพุ่งตรงกลับเข้าตาผู้ขับขี่ ทำให้เห็นเป็นวัตถุที่สว่างจ้า แม้จะอยู่ไกลหลายร้อยเมตร

 

ประเภทของวัสดุ Retroreflective

 

วัสดุที่ทำให้เกิดคุณสมบัตินี้มีสองประเภทหลัก

 

  1. แบบลูกแก้ว (Glass Bead) นี่คือเทคโนโลยีดั้งเดิมและยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำงานโดยการฝัง “ลูกแก้วทรงกลมขนาดเล็กจิ๋ว” จำนวนมหาศาลลงบนพื้นผิวของแถบ เมื่อแสงส่องผ่านเข้าไปในลูกแก้ว มันจะหักเหแสงไปยังด้านหลังของลูกแก้ว (ซึ่งมักจะเคลือบด้วยสารสะท้อนแสง) แล้วสะท้อนกลับออกมาทางด้านหน้า กลับไปยังแหล่งกำเนิดแสง
    • ข้อดี: ราคาไม่แพง ยืดหยุ่นได้ดี
    • ข้อเสีย: ประสิทธิภาพการสะท้อนแสงต่ำกว่าแบบปริซึม และประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมากเมื่อ “เปียกน้ำ” (เรียกว่า “Wet-out”) เพราะน้ำที่เคลือบผิวลูกแก้วจะเปลี่ยนมุมการหักเหของแสง
  2. แบบไมโครปริซึม (Microprismatic หรือ Prismatic) นี่คือเทคโนโลยีที่ใหม่และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก แทนที่จะใช้ลูกแก้ว แถบนี้ใช้ “ปริซึมขนาดจิ๋ว” (ลักษณะคล้ายมุมลูกบาศก์) จำนวนหลายแสนชิ้นต่อตารางนิ้ว เมื่อแสงส่องเข้ามา มันจะสะท้อนไปมาระหว่างผิวหน้าทั้งสามของปริซึม ก่อนที่จะถูกส่งกลับไปยังแหล่งกำเนิดแสงโดยตรง
    • ข้อดี: สะท้อนแสงได้สว่างกว่าแบบลูกแก้วหลายเท่า ทนทานกว่า และที่สำคัญคือ “ยังคงสะท้อนแสงได้ดีแม้ในขณะเปียกฝน”
    • ข้อเสีย: ราคาสูงกว่า และอาจมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าเล็กน้อย

 

ทั้งนี้ แถบสะท้อนแสงมีวันเสื่อมสภาพ! เสื้อเซฟตี้ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ได้ตลอดไป คราบสกปรก ดินโคลน หรือน้ำมันที่เกาะบนแถบสะท้อนแสง จะขัดขวางไม่ให้แสงเข้าไปกระทบลูกแก้วหรือปริซึม ทำให้ประสิทธิภาพการสะท้อนแสงลดลงอย่างมาก การซักบ่อยครั้ง (โดยเฉพาะการซักแบบรุนแรงหรือใช้น้ำยาฟอกขาว) ก็จะทำให้แถบสะท้อนแสงเสื่อมสภาพและหลุดลอกได้เช่นกัน ดังนั้น ควรตรวจสอบเสื้อเซฟตี้เป็นประจำ หากแถบสะท้อนแสงเริ่มแตก ลอก หรือสกปรกจนซักไม่ออก ก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่

 


 

จะเห็นว่า การเลือก เสื้อเซฟตี้ ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่คือการลงทุนใน “ชีวิต” และ “ความปลอดภัย” ของผู้ปฏิบัติงาน การสละเวลาสักครู่เพื่อทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างเสื้อ Class 1, 2 และ 3 การเลือกเนื้อผ้าให้เหมาะกับสภาพอากาศ และการซาบซึ้งในเทคโนโลยี Retroreflection ที่อยู่ในแถบสะท้อนแสง จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณได้เลือกเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

 

ดังนั้นแล้ว เสื้อเซฟตี้สะท้อนแสง ที่ดีที่สุด คือเสื้อที่ “ถูกสวมใส่” อย่างถูกต้อง และ “เหมาะสม” กับหน้างาน เสื้อที่สว่างจ้าในตอนกลางวันด้วยสีสะท้อนแสง และส่องสว่างในยามค่ำคืนด้วยแถบสะท้อนแสงคุณภาพสูง คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการต่อสู้กับอุบัติเหตุที่เกิดจาก “การมองไม่เห็น” อย่าประนีประนอมกับความปลอดภัย เพราะวินาทีที่คุณมองเห็น อาจหมายถึงชีวิตที่ปลอดภัยไปตลอดกาล