ในวงการอุตสาหกรรมและงานช่างโลหะ เครื่องมือ Power Tools มีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ถ้าพูดถึงเครื่องมือสำหรับการปรับแต่งสภาพโลหะ หรือลับคมเครื่องมือตัด มอเตอร์หินไฟ หรือ Bench Grinder คืออุปกรณ์พื้นฐานที่แทบทุกเวิร์กช็อปต้องมีติดไว้ บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับเครื่องมือชนิดนี้อย่างละเอียด ตั้งแต่หลักการทำงาน ประโยชน์ใช้สอย ไปจนถึงวิธีการเลือกซื้อให้คุ้มค่าที่สุด

มอเตอร์หินไฟ คืออะไร?
มอเตอร์หินไฟ คือ เครื่องมือช่างไฟฟ้าแบบตั้งโต๊ะสำหรับงานเจียร ขัด หรือลับคมวัสดุ โดยมีโครงสร้างหลักประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่แกนเพลาหมุนยื่นออกมาทั้งสองด้าน ซึ่งปลายแกนเพลาแต่ละด้านจะติดตั้งล้อหินเจียร ที่มีความหยาบและละเอียดแตกต่างกัน หรืออาจติดตั้งแปรงลวดและลูกขัดผ้า ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
โดยคำว่า มอเตอร์หินไฟ ที่เราเรียกกันติดปากในภาษาไทยนั้นมีที่มาจากลักษณะทางกายภาพและการทำงานของมอเตอร์หินไฟอย่างที่หลายคนน่าจะสังเกตเห็น จากการที่ตัวเครื่องขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหัวใจหลัก และการใช้วัสดุขัดที่เป็นหิน (ล้อหินเจียร) และประการสุดท้ายคือคำว่าไฟ ซึ่งมาจากการที่เมื่อนำโลหะเข้าไปเสียดสีกับหินเจียรที่หมุนด้วยความเร็วสูง จะเกิดความร้อนสูงจนเนื้อโลหะที่ถูกกัดออกกลายเป็นสะเก็ดไฟสีส้มพุ่งออกมา การรวมคำทั้งสามนี้เข้าด้วยกันจึงกลายเป็นชื่อเรียกที่สะท้อนภาพลักษณ์การทำงานของเครื่องมือชนิดนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
กลไกการทำงานของมอเตอร์หินไฟ
กลไกการทำงานของมอเตอร์หินไฟ อาศัยหลักการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกลผ่านระบบแม่เหล็กไฟฟ้า โดยชนิดของมอเตอร์ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ มอเตอร์เหนี่ยวนำ (Induction Motor) ซึ่งมีความทนทานสูงและไม่ต้องใช้แปรงถ่าน (Brushless) ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานและเสียงเงียบกว่ามอเตอร์แบบ Universal ที่ใช้ในสว่านมือทั่วไป
เมื่อมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ขดลวดสเตเตอร์ที่พันอยู่รอบแกนเหล็ก จะเกิดสนามแม่เหล็กหมุนวนขึ้นภายในตัวมอเตอร์ สนามแม่เหล็กนี้จะเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในโรเตอร์ (Rotor) ซึ่งเป็นแกนหมุนตรงกลาง ส่งผลให้เกิดแรงบิดทางแม่เหล็กผลักดันให้โรเตอร์หมุนตามความเร็วที่ถูกกำหนดไว้โดยความถี่ของกระแสไฟฟ้าและจำนวนขั้วแม่เหล็ก โดยทั่วไปมอเตอร์หินไฟจะมีความเร็วรอบคงที่ (Fixed Speed) อยู่ที่ประมาณ 2,950 ถึง 3,000 รอบต่อนาที (RPM) สำหรับระบบไฟ 50Hz ในประเทศไทย
ระบบการส่งกำลังของ มอเตอร์หินไฟ เป็นแบบขับตรง คือแกนเพลาของมอเตอร์จะยื่นออกมาโดยตรงเพื่อติดตั้งล้อหินเจียร โดยไม่มีการทดเกียร์หรือใช้สายพาน ซึ่งข้อดีของระบบขับตรงคือการสูญเสียกำลังน้อยและให้ความเสถียรในการหมุนสูง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเริ่มออกตัว มอเตอร์ประเภทนี้มักต้องอาศัยคาปาซิเตอร์เพื่อช่วยสร้างแรงบิดเริ่มต้นให้แกนหมุนสามารถเอาชนะความเฉื่อยของล้อหินที่มีน้ำหนักมากได้ เมื่อมอเตอร์หมุนถึงความเร็วทำงาน แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางจะทำให้ล้อหินมีพลังงานจลน์มหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการกัดเนื้อโลหะที่แข็งให้หลุดออกไปได้เมื่อผู้ใช้งานดันชิ้นงานเข้าหาหน้าสัมผัสของหิน
มอเตอร์หินไฟใช้ทำอะไร?
งานหลักของ มอเตอร์หินไฟ คือ การจัดการกับผิวหน้าของวัสดุ โดยเฉพาะโลหะ ให้ได้รูปทรง หรือความคมตามต้องการ งานที่พบบ่อยที่สุดคือการลับคมเครื่องมือตัดต่าง ๆ ช่างกลโรงงานหรือช่างไม้จำเป็นต้องใช้มอเตอร์หินไฟในการลับดอกสว่าน ใบกบ สิ่ว หรือมีดกลึง ให้กลับมามีความคมกริบพร้อมใช้งานอยู่เสมอ หินเจียรด้านหนึ่งมักจะเป็นหินหยาบสำหรับการปรับรูปทรงที่สึกหรอมาก ในขณะที่อีกด้านจะเป็นหินละเอียดสำหรับการเก็บความเรียบและสร้างคมมีดที่สมบูรณ์
นอกจากงานลับคมแล้ว มอเตอร์หินไฟ ยังใช้สำหรับงานเจียรปรับแต่งชิ้นงาน เช่น การเจียรลบคมเหล็กที่เพิ่งตัดมา การเจียรแต่งหัวน็อต หรือการเจียรลดขนาดชิ้นงานโลหะเล็ก ๆ ให้ได้ตามแบบ หากถอดล้อหินออกแล้วเปลี่ยนเป็น แปรงลวดกลม ก็จะสามารถใช้ขัดสนิม ขัดสีเก่า หรือทำความสะอาดพื้นผิวโลหะได้อย่างรวดเร็ว หรือถ้าเปลี่ยนเป็น ลูกขัดผ้า พร้อมลงน้ำยาขัดเงา เครื่องมือนี้ก็จะกลายเป็นเครื่องปัดเงาที่ช่วยให้ชิ้นงานโลหะ อะลูมิเนียม หรือสแตนเลส มีความเงางามเหมือนกระจกได้ทันที
และแน่นอนว่าความอเนกประสงค์เหล่านี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้มอเตอร์หินไฟเป็นศูนย์กลางของการเตรียมและจบงานผิวโลหะในเวิร์กช็อป
วิธีเลือกซื้อมอเตอร์หินไฟ
การเลือกซื้อมอเตอร์หินไฟให้เหมาะสมกับงานจำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลทางเทคนิคหลายด้านเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและความปลอดภัยในการใช้งาน
ปัจจัยแรกที่ต้องดูคือ ขนาดของล้อหิน ซึ่งมีผลโดยตรงกับกำลังของเครื่อง ขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้คือ มอเตอร์หินไฟ 6 นิ้ว และ มอเตอร์หินไฟ 8 นิ้ว
ในงาน DIY งานลับมีดทำครัว หรืองานลับดอกสว่านทั่วไป มอเตอร์หินไฟ 6 นิ้ว ก็เพียงพอและประหยัดกว่า แต่ถ้าเป็นงานอุตสาหกรรมที่ต้องเปิดเครื่องใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ หรือต้องเจียรชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่และหนา การเลือกมอเตอร์หินไฟ 8 นิ้ว จะให้แรงบิดที่ดีกว่าและพื้นที่หน้าสัมผัสของหินที่กว้างกว่า ช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้นและมอเตอร์ไม่ร้อนจัดจนเกินไป
ปัจจัยต่อมาคือ กำลังมอเตอร์ ซึ่งมักระบุเป็นแรงม้า (HP) หรือวัตต์ (Watts) มอเตอร์หินไฟที่ดีควรมีกำลังสมดุลกับขนาดล้อหิน สำหรับมอเตอร์หินไฟ 6 นิ้ว ควรมีกำลังอย่างน้อย 1/3 หรือ 1/2 แรงม้า เพื่อป้องกันไม่ให้รอบตกเมื่อกดชิ้นงานแรง ๆ ส่วนมอเตอร์หินไฟ 8 นิ้ว ควรมีกำลังตั้งแต่ 3/4 ถึง 1 แรงม้าขึ้นไป นอกจากนี้ควรพิจารณาเรื่องความเร็วรอบ (RPM) หากงานหลักคือการลับคมเครื่องมือไม้หรือเหล็กกล้าคาร์บอนสูงที่ไวต่อความร้อน (เช่น สิ่วคุณภาพสูง) การมองหารุ่นที่มีรอบช้าประมาณ 1,400 – 1,700 RPM อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เหล็กไหม้จนเสียค่าความแข็ง แต่สำหรับงานเจียรเหล็กทั่วไป รอบมาตรฐาน 2,950 RPM ถือว่าเหมาะสมที่สุด
โครงสร้างและฐานเครื่องก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรเลือกมอเตอร์หินไฟที่มีฐานทำจากเหล็กหล่อ เพราะน้ำหนักของฐานจะช่วยดูดซับแรงสั่นสะเทือน ทำให้เครื่องนิ่งขณะหมุน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความแม่นยำในการลับคมและความเรียบของผิวงาน ทั้งนี้ควรคุณตรวจสอบระยะห่างระหว่างล้อหินกับตัวมอเตอร์ หากตัวมอเตอร์มีขนาดใหญ่เกินไปอาจบดบังวิสัยทัศน์หรือทำให้เจียรชิ้นงานยาว ๆ ได้ลำบาก
สุดท้ายคืออุปกรณ์ความปลอดภัย การ์ดกันสะเก็ดควรมีขนาดใหญ่ ใส และปรับระดับได้ง่าย แท่นรองชิ้นงานควรแข็งแรงและสามารถปรับระยะห่างจากหน้าหินได้ละเอียด เพื่อรักษาระยะห่างมาตรฐาน (ไม่เกิน 2-3 มิลลิเมตร) ป้องกันชิ้นงานถูกดูดเข้าไปในซอกหินซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
มอเตอร์หินไฟยี่ห้อไหนดี?
สำหรับผู้ที่กำลังมองหา มอเตอร์หินไฟ ที่คุ้มค่าและทนทาน ไม่ว่าจะใช้ในงานช่างทั่วไปหรืองานอุตสาหกรรม แบรนด์ SUMO เป็นหนึ่งในตัวเลือกแบรนด์ที่น่าสนใจที่เราขอแนะนำ ด้วย3 รุ่นยอดนิยม ที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ได้แก่
- มอเตอร์หินไฟ 3 นิ้ว รุ่น iBG73 SUMO และ มอเตอร์หินไฟ 6 นิ้ว รุ่น BG6 SUMO รุ่นมาตรฐานสำหรับงานทั่วไป ตัวเครื่องกะทัดรัดแต่ทรงพลัง เหมาะสำหรับติดบ้านหรือเวิร์กช็อปขนาดย่อมเพื่อใช้ลับมีด ลับดอกสว่าน หรือเจียรแต่งชิ้นงานเล็ก ๆ ที่ทำงานด้วยรูปทรงที่ทันสมัยและมอเตอร์สมรรถนะสูง
- มอเตอร์หินไฟ 8 นิ้ว รุ่น BG8 SUMO สำหรับงานหนักระดับอุตสาหกรรมที่ต้องการพละกำลังในการขัดเจียรสูงสุด ตัวท็อปที่ช่างมืออาชีพไว้วางใจ ด้วยขนาดล้อหินที่ใหญ่และมอเตอร์ที่มีแรงบิดสูง ทำให้สามารถเจียรชิ้นงานหนา ๆ หรือปรับแต่งรูปทรงโลหะแข็งได้อย่างรวดเร็วโดยที่รอบไม่ตก
ทั้งสามรุ่นนี้มาพร้อมกับกระจกกันสะเก็ดและแท่นรองชิ้นงานที่ได้มาตรฐาน ช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมั่นใจไม่ว่าจะเลือกสเปกไหนก็ตาม












