หากคุณเคยต้องออกแรงสุดตัวเพื่อขันน็อตล้อรถยนต์ที่แน่นจนแทบขยับไม่ออก หรือเคยเจอปัญหาสกรูขึ้นสนิมที่ถอดไม่ได้ด้วยประแจธรรมดา คุณอาจกำลังมองหาเครื่องมือที่ทรงพลังกว่า ซึ่งสำหรับช่างมืออาชีพในอู่ซ่อมรถ ช่างก่อสร้าง หรือแม้กระทั่งผู้ที่ชื่นชอบงาน DIY (Do-It-Yourself) บล็อกไฟฟ้า (Electric Impact Wrench) คือเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้งานหนักกลายเป็นเรื่องง่ายที่ได้รับความนิยม

 

แต่สำหรับมือใหม่หลายคน อาจจะยังมีคำถามคาใจว่า บล็อกไฟฟ้า คือ อะไรกันแน่? มันทำงานอย่างไร มีความเกี่ยวข้องกับสว่านไฟฟ้าทั่วไปหรือไม่? และจะเลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะสมกับงาน? บทความนี้ SGB จะพาคุณไปทำความรู้จักกับบล็อกไฟฟ้า ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคการเลือกซื้อและการใช้งานอย่างมืออาชีพ เพื่อให้คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมเครื่องมือชิ้นนี้ถึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับกล่องเครื่องมือของคุณ

 


 

บล็อกไฟฟ้า คืออะไร?

 

บล็อกไฟฟ้า คือ เครื่องมือไฟฟ้าสำหรับช่างที่ถูกออกแบบมาเพื่อ สร้างแรงบิด (Torque) สูงในระยะเวลาสั้น ๆ โดยอาศัยกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อใช้ในการขันและคลายน็อต สกรู หรือสลักเกลียวต่าง ๆ โดยเฉพาะงานที่ต้องการแรงบิดสูงเกินกว่าที่แรงของมนุษย์จะทำได้ด้วยเครื่องมืออย่างประแจหรือด้ามขัน

 

หัวใจสำคัญที่ทำให้บล็อกไฟฟ้าแตกต่างจากเครื่องมือชนิดอื่นคือ กลไกการกระแทก (Impact Mechanism) ภายในตัวเครื่อง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “Impact Wrench”  โดยการทำงานของบล็อกไฟฟ้าไม่ใช่แค่หมุน แต่คือการ “ตอก” ให้คุณลองจินตนาการว่าคุณกำลังใช้ประแจขันน็อตที่ติดแน่นมาก แทนที่จะออกแรงกดค้างไว้อย่างต่อเนื่อง คุณเปลี่ยนมาใช้ค้อนตอกที่ด้ามประแจเป็นจังหวะสั้น ๆ แต่หนักหน่วง แรงตอกนั้นจะช่วยกระแทกให้น็อตค่อย ๆ ขยับและคลายตัวออกมาได้ในที่สุด หลักการทำงานของบล็อกไฟฟ้าก็มีความคล้ายคลึงกัน แต่บล็อกไฟฟ้านั้นเร็วกว่าเรามา

 

ภายในเครื่องบล็อกไฟฟ้า จะมีชุดกลไกที่ประกอบด้วย “ค้อน (Hammer)” และ “ทั่ง (Anvil)” เมื่อมอเตอร์บล็อกไฟฟ้าหมุนมันจะส่งพลังงานไปสะสมที่ตัวค้อน ทำให้ค้อนหมุนและเหวี่ยงตัวเองไปตอกเข้ากับทั่ง ซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับหัวจับลูกบล็อก (Drive Anvil) การตอกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง (หลายพันครั้งต่อนาที) นี้เองที่สร้างแรงบิดมหาศาลแบบกระแทก ทำให้สามารถคลายน็อตที่ขึ้นสนิมหรือถูกขันมาอย่างแน่นหนาได้อย่างง่ายดาย และในทางกลับกัน บล็อกไฟฟ้าก็สามารถใช้ในการขันน็อตให้แน่นตามค่าที่ต้องการได้ด้วยพลังที่เหนือกว่าการใช้แรงมือ

 

ดังนั้นแล้ว หากเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างบล็อกไฟฟ้ากับสว่านไฟฟ้า เราจะพบว่าสว่านจะเป็นการกระแทกในแนวตรง (เข้า-ออก) เหมือนการตอกสิ่ว ซึ่งมีไว้เพื่อช่วยในการเจาะวัสดุที่แข็ง เช่น ปูน หรือคอนกรีต แต่แรงบิดในการหมุนจะต่ำกว่าบล็อกไฟฟ้ามาก แต่สำหรับบล็อกไฟฟ้าแรงกระแทกจะเป็นการกระแทกในแนวหมุน (Rotational Impact) เพื่อสร้างแรงบิดมหาศาลโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่องานเจาะ

 


 

ประเภทของบล็อกไฟฟ้า

 

เมื่อคุณเลือกซื้อบล็อกไฟฟ้า คุณจะพบว่าบล็อกไฟฟ้าสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามแหล่งพลังงานที่ใช้ คือ บล็อกไฟฟ้ามีสาย และ บล็อกไฟฟ้าไร้สาย

 

บล็อกไฟฟ้ามีสาย (Corded Electric Impact Wrench)

 

บล็อกไฟฟ้ามีสาย คือบล็อกไฟฟ้าประเภทที่ต้องเสียบปลั๊กกับแหล่งจ่ายไฟตลอดเวลาที่ใช้งาน เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป ซึ่งเป็นตัวเลือกดั้งเดิมที่ยังคงได้รับความนิยมในสถานประกอบการที่ทำงานอยู่กับที่ เช่น อู่ซ่อมรถ โรงงาน หรือไลน์ประกอบชิ้นส่วน ตลอดจนผู้ใช้งานที่ไม่ใช่มือโปรที่ใช้งานอยู่บ้าน

 

ข้อดีของบล็อกไฟฟ้ามีสายที่สำคัญคือประโยชน์ของการเสียบสายปลั๊กไฟเอาไว้ตลอดเวลา นั่นคือความสม่ำเสมอของกำลังไฟที่ทำให้ได้แรงบิดสูงสุดที่คงที่ตลอดการใช้งาน โดยไม่ต้องกังวลว่าพลังของบล็อกไฟฟ้าจะตก และแน่นอนว่าการใช้ไฟฟ้าทำให้ไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาเกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่บล็อกไฟฟ้า ทั้งอายุการใช้งาน น้ำหนัก การชาร์จ ตลอดจนด้านราคา

 

มีเพียงระยะการใช้งานจากความยาวของสายที่เป็นข้อจำกัดที่สำคัญเมื่อเทียบกับบล็อกไฟฟ้าไร้สาย แต่อย่างไรก็ตามปัญหาด้านระยะมักจะไม่ใช่ปัญหาของผู้ที่เลือกใช้บล็อกไฟฟ้ามีสายซึ่งเป็นผู้ที่ทำงานอยู่กับที่อยู่แล้ว

 

ภาพตัวอย่าง บล็อกไฟฟ้ามีสาย หรือ Corded Electric Impact Wrenchตัวอย่าง บล็อกไฟฟ้าแบบมีสาย รุ่น IW1200 SUMO

 

บล็อกไฟฟ้าไร้สาย หรือ บล็อกแบตเตอรี่ (Cordless/Battery-Powered Impact Wrench)

 

บล็อกไฟฟ้าไร้สาย หรือ บล็อกแบตเตอรี่ คือ บล็อกไฟฟ้าประเภทที่ทำงานได้ด้วยการใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Li-ion) ซึ่งปัจจุบันพัฒนาไปมากทำให้บล็อกไฟฟ้าไร้สายมีพละกำลังสูงเทียบเท่าหรือมากกว่าบล็อกไฟฟ้ามีสายบางรุ่น

 

ข้อดีของบล็อกไฟฟ้าไร้สายที่สำคัญคือเรื่องความคล่องตัวในระดับสูงสุด เนื่องจากไม่มีสายไฟมาเป็นอุปสรรค ซึ่งช่วยให้สามารถนำไปใช้งานได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นงานนอกสถานที่ กลางแจ้ง หรือในจุดที่ไม่มีไฟฟ้า โดยที่พร้อมใช้งานได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาหาสายต่อหรือปลั๊กไฟ

 

อย่างไรก็ตาม ความสะดวกเหล่านั้นแลกมาด้วยข้อจำกัดด้านแบตเตอรี่ ทั้งด้านกำลังแรงบิดสูงสุดอาจไม่คงที่เมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด และเมื่อแบตเตอรี่หมดต้องหยุดเพื่อชาร์จหรือเปลี่ยนก้อนใหม่ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากส่วนนี้แลกกับความสะดวกสบาย

 

ตัวอย่าง บล็อกไฟฟ้าไร้สาย Cordless Impact Wrench ยี่ห้อ SUMO

ตัวอย่าง บล็อกไฟฟ้าไร้สาย รุ่น CW777-5 SUMO

 

ดังนั้น การเลือกระหว่าง บล็อกไฟฟ้ามีสาย และ บล็อกไฟฟ้าไร้สาย จึงขึ้นอยู่กับลักษณะงานของคุณ หากคุณทำงานในอู่หรือโรงงานเป็นหลักแต่ไม่ต้องการใช้บล็อกลม บล็อกไฟฟ้ามีสายอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่ถ้าหากคุณต้องการความคล่องตัวสูงสุดสำหรับงานซ่อมบำรุงนอกสถานที่หรืองาน DIY รอบบ้าน บล็อกไฟฟ้าไร้สายคือคำตอบที่ใช่ที่สุดในกรณีนี้

 


 

วิธีเลือกซื้อบล็อกไฟฟ้า

 

การเลือกซื้อบล็อกไฟฟ้าให้เหมาะสมนั้นมีรายละเอียดมากกว่าแค่การเลือกว่าจะเอารุ่นมีสายหรือไร้สาย เพื่อให้ได้เครื่องมือที่ตอบโจทย์และคุ้มค่ากับการลงทุนที่สุด คุณสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพของบล็อกไฟฟ้าได้โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจข้อมูลทางเทคนิคเหล่านี้เพื่อช่วยในการเปรียบเทียบหาสิ่งที่เหมาะสมกับงานและการใช้งานของคุณมากที่สุด โดยเราแนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าควรเลือกตามความเหมาะสมของการใช้งานมากกว่าการเปรียบเทียบเพื่อหาบล็อกไฟฟ้าที่ดีที่สุดซึ่งอาจทำให้คุณซื้อบล็อกไฟฟ้าที่เกินระดับความต้องการในงานของคุณ

 

แรงบิด (Torque)

 

แรงบิด คือ พลังในการหมุน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของบล็อกไฟฟ้า มีหน่วยวัดเป็น นิวตัน-เมตร (Nm) หรือ ฟุต-ปอนด์ (ft-lbs) ยิ่งค่าแรงบิดสูง ก็ยิ่งมีพละกำลังในการขันและคลายน็อตที่แน่นได้ดีกว่า

 

ซึ่งการเลือกซื้อบล็อกไฟฟ้าคุณจะพบว่ามีค่าแรงบิดอยู่ 2 ส่วนอยู่ในข้อมูลสินค้า ได้แก่

 

  • แรงบิดในการขัน (Tightening Torque) คือ ค่าแรงบิดสูงสุดที่เครื่องสามารถทำได้ในการขันน็อตให้แน่น
  • แรงบิดในการถอน หรือ แรงบิดกระชากน็อต (Nut-Busting Torque) คือ ค่าแรงบิดสูงสุดที่เครื่องสามารถทำได้ในโหมดหมุนกลับเพื่อคลายน็อต ซึ่งมักจะมีค่าสูงกว่าแรงบิดในการขัน เพราะต้องใช้พลังมากกว่าในการกระชากน็อตที่ติดแน่นหรือขึ้นสนิมออกมา

 

โดยทั่วไปการเลือกแรงบิดของบล็อกไฟฟ้าตามความเหมาะสมของงาน มักจะเลือกดังนี้

 

  • บล็อกไฟฟ้าแรงบิด 300 N·m หรือน้อยกว่า สำหรับงานเบา/DIY ที่โดยทั่วไปแรงบิดระดับ 150-300 N·m มักจะเพียงพอสำหรับงานทั่วไป อย่าง เช่น ซ่อมมอเตอร์ไซค์ ประกอบเฟอร์นิเจอร์ หรือซ่อมเครื่องยนต์เล็ก
  • บล็อกไฟฟ้าแรงบิด 300-600 N·m ใช้กับงานยานยนต์ทั่วไป เหมาะสำหรับการถอด-ใส่ล้อรถยนต์ งานช่วงล่างทั่วไป
  • บล็อกกระแทกแรงบิดสูง ในระดับ 600-1,200 N·m ขึ้นไป สำหรับใช้งานกับรถบรรทุก เครื่องจักรกลหนัก และงานโครงสร้างเหล็ก ซึ่งโดยทั่วไปการใช้งานในลักษณะนี้มักจะพิจารณาถึงการเลือกใช้งานบล็อกลม

 

ขนาดหัวขับ (Drive Size)

 

ขนาดหัวขับ คือ ขนาดของแกนสี่เหลี่ยมที่ใช้ต่อกับลูกบล็อก มีหน่วยเป็นนิ้วหรือหุน โดยขับบล็อกขนาดต่าง ๆ จะใช้งานในงานที่แตกต่างกัน ดังนี้

 

  • บล็อก 1/4 นิ้ว สำหรับงานเล็กๆ ที่ต้องการความละเอียด
  • บล็อก 3/8 นิ้ว เหมาะกับงานในห้องเครื่องยนต์ที่พื้นที่จำกัด
  • บล็อก 1/2 นิ้ว ขนาดอเนกประสงค์ที่นิยมที่สุด เป็นขนาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากเป็นขนาดมาตรฐานสำหรับงานยานยนต์ส่วนใหญ่ ใช้ได้ตั้งแต่งานรถยนต์ไปจนถึงงานประกอบทั่วไป
  • บล็อก 3/4 นิ้ว สำหรับงานหนักมาก เช่น รถบรรทุก รถบัส และเครื่องจักรกลหนัก
  • บล็อก 1 นิ้ว (8 หุน) สำหรับงานหนักมาก เช่น รถบรรทุก รถบัส เครื่องจักรกลหนัก และงานโครงสร้าง

 

ข้อควรระวัง: อย่าใช้ลูกบล็อกธรรมดา (Chrome Socket) กับบล็อกไฟฟ้าเด็ดขาด เพราะลูกบล็อกอาจแตกและเป็นอันตรายได้ ต้องใช้ “ลูกบล็อกกระแทก (Impact Socket)” ที่ทำจากเหล็ก CR-MO (Chromium Molybdenum) ซึ่งมีความเหนียวและทนต่อแรงกระแทกได้สูงเท่านั้น

 

ลูกบล็อกสำหรับ บล็อกไฟฟ้า และ บล็อกไร้สาย ยี่ห้อ SUMOตัวอย่าง ลูกบล็อก สำหรับใช้งานกับบล็อกไฟฟ้าและบล็อกลม ผลิตจากเหล็ก CR-MO

 

อัตราการกระแทก (IPM หรือ BPM)

 

อัตราการกระแทก คือ จำนวนครั้งที่กลไกค้อนตอกลงบนทั่งในหนึ่งนาที โดยอัตราการกระแทกจะมีหน่วยเป็น IPM (Impacts Per Minute) หรือ BPM (Beats Per Minute) ยิ่งค่า IPM สูง ก็ยิ่งทำงานได้รวดเร็วขึ้นในการคลายน็อตที่ฝืดมาก ๆ เพราะหมายถึงการ “ตอก” ที่ถี่กว่า

 

ความเร็วรอบ (RPM)

 

ความเร็วรอบ คือ ความเร็วในการหมุนของหัวขับเมื่อไม่มีแรงต้านทาน (ไม่มีการกระแทก) มีหน่วยเป็น RPM (Revolutions Per Minute) ยิ่งค่า RPM สูงจะช่วยให้คุณขันหรือคลายสกรูที่หลวมอยู่แล้วได้อย่างรวดเร็ว

 

มอเตอร์ระหว่าง Brushed กับ Brushless

 

สำหรับบล็อกไฟฟ้าไร้สาย เทคโนโลยีมอเตอร์เป็นสิ่งสำคัญมากเนื่องจากเป็นสิ่งที่สร้างแรงกระแทกให้กับบล็อกไฟฟ้า โดยมอเตอร์ที่สามารถพบได้ในบล็อกไฟฟ้าจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

 

มอเตอร์แบบแปรงถ่าน (Brushed) เป็นเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม มีราคาถูกกว่า แต่การใช้งานมอเตอร์จะเกิดความร้อนสูง มีการสูญเสียพลังงาน และต้องมีการบำรุงรักษาด้วยการเปลี่ยนแปรงถ่านเมื่อหมดอายุ (บางรุ่นสามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย)

 

มอเตอร์ไร้แปรงถ่าน (Brushless) เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ทำงานโดยใช้แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงกว่า แรงบิดดีกว่า สร้างความร้อนน้อยกว่า และไม่ต้องบำรุงรักษาแปรงถ่าน แลกกับการที่มีระบบที่ซับซ้อนทำให้ซ่อมยากกว่า และมีราคาที่สูงกว่าจากส่วนประกอบเหล่านั้น

 

แบตเตอรี่ (สำหรับบล็อกไร้สาย)

 

  • แรงดันไฟฟ้า (Voltage – V) บ่งบอกพละกำลังของเครื่องมือ โดยทั่วไปจะมีตั้งแต่ 12V, 18V, 20V ไปจนถึง 40V หรือมากกว่า ยิ่งโวลต์สูง กำลังก็มักจะสูงตามไปด้วย ซึ่ง 18V/20V เป็นมาตรฐานที่นิยมที่สุด
  • ความจุ (Amp-Hours – Ah) บ่งบอกถึงระยะเวลาการใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ยิ่ง Ah สูง ก็ยิ่งใช้งานได้นานขึ้น

 


 

ทั้งหมดคือหลักการพื้นฐานของบล็อกไฟฟ้าและวิธีอ่านรายละเอียดข้อมูลสินค้าคร่าว ๆ ของการเลือกซื้อบล็อกไฟฟ้า ถ้าหากคุณกำลังมองหาบล็อกไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นบล็อกไฟฟ้าไร้สายหรือบล็อกไฟฟ้ามีสาย และลูกบล็อกไฟฟ้า ตลอดจนทางเลือกอย่างบล็อกลม SGB หรือ สยาม โกลบอล กรุ๊ป ยินดีนำเสนอ บล็อกไฟฟ้า และ บล็อกลม รวมถึงอุปกรณ์ช่างอื่น ๆ ที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคุณ