ประเทศไทยกับปัญหาน้ำท่วมเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน ทำให้หลายคนยังคงมีความกังวลและหาช่องทางในการรับมือกับปัญหาน้ำท่วม ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่มีศักยภาพนั้นก็คือ “กำแพงกั้นน้ำ” หรือที่รู้จักกันในชื่อสากลว่า “Boxwall”

 

ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักว่า กำแพงกั้นน้ำ คืออะไร ทำไมมันเป็นสุดยอดอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วมยุคใหม่ และมันมีศักยภาพที่จะช่วยทำให้การรับมือกับอุทกภัยได้ง่ายขึ้นได้อย่างไร

 

กำแพงกั้นน้ำ คืออะไร?

 

กำแพงกั้นน้ำ คือ ระบบป้องกันน้ำท่วมแบบเคลื่อนที่ (Mobile Flood Barrier) ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถติดตั้งและรื้อถอนได้อย่างรวดเร็ว มีลักษณะเป็นแผงหรือกล่อง (Module) ที่สามารถนำมาประกอบต่อกันเป็นแนวยาวเพื่อสกัดกั้นมวลน้ำไม่ให้ไหลเข้าสู่พื้นที่ที่ต้องการปกป้อง

 

กำแพงกั้นน้ำ หรือ Boxwall นั้น แตกต่างจากกระสอบทรายอย่างสิ้นเชิง มันไม่ต้องการ “มวล” ในการต้านแรงดันน้ำ แต่ใช้นวัตกรรมการออกแบบทางวิศวกรรมในการเปลี่ยน “แรงดันของน้ำ” ให้กลายเป็น “แรงกด” ที่ช่วยยึดตัวกำแพงให้แนบสนิทกับพื้นผิวมากขึ้น เปรียบเสมือนการยืมพลังของน้ำมาป้องกันตัวมันเอง

 

กล่าวคือ กำแพงกั้นน้ำ เป็นอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วมสำเร็จรูปแบบแยกส่วน ที่มีน้ำหนักเบา จัดเก็บง่าย นำกลับมาใช้ซ้ำได้ และสามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็วโดยใช้แรงงานคนเพียงไม่กี่คน นับเป็นการปฏิวัติแนวคิดการป้องกันน้ำท่วมจากที่เคยเป็นเรื่องใหญ่และต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ให้กลายเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

หลักการทำงานที่น่าทึ่งของกำแพงกั้นน้ำ

 

สิ่งที่ทำให้กำแพงกั้นน้ำท่วมชนิดนี้มีประสิทธิภาพสูง คือหลักการทำงานทางฟิสิกส์ที่เรียกว่า แรงดันของเหลว (Hydrostatic Pressure) ตัวกำแพงถูกออกแบบมาเป็นรูปทรงตัว L (L-Shape) โดยมีส่วนฐานที่วางราบไปกับพื้น และส่วนที่ตั้งฉากขึ้นมาเพื่อรับแรงปะทะของน้ำ

 

เมื่อมวลน้ำเริ่มไหลเข้ามาและปะทะกับแผงกั้นในแนวตั้ง แรงดันของน้ำจะผลักกำแพงไปข้างหน้า ในขณะเดียวกัน น้ำหนักของมวลน้ำที่ท่วมอยู่เหนือส่วนฐานของกำแพง (ส่วนที่วางราบกับพื้น) จะสร้างแรงกดในแนวดิ่งมหาศาล กดให้ตัวกำแพงแนบสนิทกับพื้นดินอย่างมั่นคงและแข็งแรง กลายเป็นซีลธรรมชาติที่ป้องกันน้ำรั่วซึมจากใต้ฐาน

 

หลักการนี้สามารถอธิบายง่าย ๆ ได้ว่า “ยิ่งระดับน้ำสูงขึ้น แรงดันน้ำที่กระทำต่อกำแพงก็จะยิ่งมากขึ้น และน้ำหนักของน้ำที่กดทับฐานก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย” ส่งผลให้ตัวกำแพงกั้นน้ำยิ่งยึดเกาะกับพื้นได้แน่นหนายิ่งขึ้น นี่คือความมหัศจรรย์ของการออกแบบที่ทำให้มันสามารถรับมือกับระดับน้ำที่สูงและกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากได้อย่างน่าทึ่ง โดยที่ไม่ต้องมีน้ำหนักมากเหมือนกระสอบทรายหรือกำแพงคอนกรีต

 

โดยวัสดุที่ใช้ผลิตกำแพงกั้นน้ำส่วนใหญ่มักเป็นพลาสติกวิศวกรรมคุณภาพสูง อย่างเช่น พลาสติก ABS และพลาสติก PP ซึ่งมีคุณสมบัติแข็งแรงทนทาน ทนต่อแรงกระแทกและการกัดกร่อนจากสารเคมี ในขณะที่มีน้ำหนักเบา ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถยกและเคลื่อนย้ายกำแพงกั้นน้ำท่วมได้อย่างสบาย

 

เปรียบเทียบ กำแพงกั้นน้ำ กับ กระสอบทราย

 

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่าทำไมกำแพงกั้นน้ำถึงเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า เรามาเปรียบเทียบคุณสมบัติในด้านต่าง ๆ กับกระสอบทรายซึ่งเป็นวิธีการที่คนไทยคุ้นเคยกันดี

 

ความเร็วในการติดตั้ง คือข้อได้เปรียบที่ชัดเจนที่สุดของกำแพงกั้นน้ำ การสร้างแนวกั้นน้ำด้วยกระสอบทรายเป็นงานที่ต้องใช้แรงงานคนจำนวนมากและใช้เวลานาน การบรรจุทรายลงกระสอบ การขนย้าย และการเรียงซ้อนกันให้ได้ความสูงและความยาวตามต้องการอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน ในทางกลับกัน การติดตั้งกำแพงกั้นน้ำสามารถทำได้รวดเร็วกว่าหลายสิบเท่า ทีมงานเพียง 2-3 คน สามารถติดตั้งแนวกำแพงความยาว 100 เมตร ได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง

 

ประสิทธิภาพในการป้องกัน แนวกระสอบทรายมักมีช่องว่างระหว่างกระสอบแต่ละใบ ทำให้น้ำสามารถรั่วซึมผ่านได้ง่าย และเมื่อเวลาผ่านไป ทรายที่อุ้มน้ำจะทำให้กระสอบเปื่อยยุ่ยและพังทลายลงได้ แต่สำหรับกำแพงกั้นน้ำ ระบบตัวล็อกที่เชื่อมต่อระหว่างแผงแต่ละชิ้นถูกออกแบบมาให้แนบสนิท ประกอบกับแรงกดของน้ำที่ช่วยซีลฐานของกำแพง ทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการรั่วซึมสูงกว่า

 

การใช้ซ้ำและความคุ้มค่าในระยะยาว กระสอบทรายส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว หลังน้ำลด กระสอบทรายที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกจะกลายเป็นขยะจำนวนมหาศาลที่ต้องนำไปทิ้ง ในขณะที่กำแพงกั้นน้ำถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานซ้ำหลายสิบครั้ง หลังใช้งานเพียงแค่ทำความสะอาดและจัดเก็บในที่ร่ม ก็พร้อมสำหรับรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งต่อไปได้ทันที แม้ว่าการลงทุนครั้งแรกอาจมีราคาสูงกว่า แต่เมื่อพิจารณาถึงอายุการใช้งานและความสามารถในการนำกลับมาใช้ซ้ำ มันจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าในระยะยาวอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ด้วยเหตุนี้ กำแพงกั้นน้ำท่วมจึงเหมาะกับทั้งบ้านพักอาศัยและชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และภาคธุรกิจ ในการสร้างแนวกั้นชั่วคราวเพื่อเบี่ยงเบนเส้นทางน้ำไม่ให้ไหลเข้าสู่พื้นที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน บริษัท หรือหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเป็นวิธีป้องกันน้ำท่วมไม่เสียทัศนียภาพมากเท่ากับการใช้กระสอบทราย

 

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกและการติดตั้ง

 

แม้ว่าการติดตั้งกำแพงกั้นน้ำจะทำได้ง่าย แต่การเลือกใช้งานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดนั้นมีข้อควรพิจารณาเล็กน้อย ประการแรกคือการประเมินความเสี่ยงและลักษณะของพื้นที่ ควรทราบว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นหรือคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นมีความสูงเท่าใด เพื่อเลือกความสูงของกำแพงให้เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะมีความสูงให้เลือกตั้งแต่ประมาณ 50 เซนติเมตรขึ้นไป

 

ประการที่สองคือลักษณะของพื้นผิวที่ติดตั้ง พื้นผิวที่เรียบและแข็ง เช่น ถนนคอนกรีต ลานยางมะตอย หรือพื้นกระเบื้อง เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการติดตั้ง เพราะจะทำให้ฐานของกำแพงแนบสนิทกับพื้นได้ดีที่สุด หากพื้นผิวไม่เรียบหรือเป็นพื้นดิน อาจจำเป็นต้องมีการเตรียมพื้นผิวเบื้องต้น เช่น การใช้แผ่นพลาสติกหรือผ้าใบปูรองก่อนการติดตั้งเพื่อช่วยลดการรั่วซึม

 

ในขณะที่ขั้นตอนการติดตั้งนั้นตรงไปตรงมา เพียงแค่นำแผงกำแพงแต่ละชิ้นมาวางต่อกันตามแนวที่ต้องการ โดยให้ด้านที่รับน้ำหันไปทางทิศที่น้ำจะไหลมา จากนั้นใช้กลไกตัวล็อกที่ติดมากับแผงทำการเชื่อมต่อแต่ละชิ้นเข้าด้วยกันให้แน่นหนา นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริม เช่น ชิ้นส่วนสำหรับเข้ามุม 90 องศา หรือชิ้นส่วนสำหรับปรับความยาว เพื่อให้สามารถสร้างแนวกั้นได้ตามรูปแบบของพื้นที่อย่างยืดหยุ่น